โรคเข่าปูดหรืออาการ Osgood-Schlatter Disease/Symptom (อ๊อสกูด ชแล็ตเตอร์) หรือเรียกสั้นๆว่า OSD คือโรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบ ชื่ออาการนี้ตั้งชื่อตามนายแพทย์สองท่าน (Dr. Robert Bayley Osgood จาก Harvard University และ Dr. Carl Schlatter จาก University of Zurich) ที่ได้พบโรคหรืออาการนี้เมื่อปี 1903 เกือบ 110 มาแล้ว ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการแพทย์ คืออาการโดยทั่วไปเจ็บเข่าที่ปุ่มกระดูกด้านหน้า เมื่อกดปุ่มนูนที่ใต้หัวเข่าแล้วมีอาการเจ็บ นั่งคุกเข่าไม่ได้ เพราะปุ่มที่ปูดนูนถูกกดทับ รู้สึกเจ็บเมื่อเดินขึ้นบันได มีอาการเจ็บเมื่อกระโดด หรือมีการยืดเหยียดหรืองอบริเวณหัวเข่าอย่างรวดเร็ว
อาการของโรค กล่าวคือมีอาการปวดเข่า (knee pain) และบวม (swelling) ที่ใต้หัวเข่าลงไประยะประมาณ 2-3 นิ้ว ซึ่งเกิดจากแรงดึงของเส้นเอ็นที่ยึดติดกับกระดูกสะบ้าหัวเข่า (Patellar Tendonitis ) กับกระดูกหน้าแข้ง (tibia) ทำให้กระดูกหน้าเกิดรอยแยกเนื่องกระดูกหน้ายังโตและแข็งแรงไม่เต็มที่
และนี่คือสาเหตุของโรค Osgood Schalatter ที่เกิดขึ้นกับนักกีฬา
ดูวีดีโอรายละเอียดเกี่ยวกับอาการของโรคนี้
พบมากในนักกีฬาที่ต้องทำการวิ่งและกระโดดในเวลาเล่นเช่น แบดมินตัน บาสเกตบอล ยิมนาสติก ฟุตบอล โดยเฉพาะเด็กช่วงอายุตั้งแต่ 10 ถึง 15 ปี (บางตำรา 9-15 ปี) เกิดขึ้นกับเด็กที่เป็นนักกีฬามากกว่าเด็กที่ไม่ใช่นักกีฬา เกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง แต่บางข้อมูลก็บอกว่าสามารถเกิดได้กับเด็กผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเกิดเท่าๆกัน แต่พอโตอายุ 16 ปีขึ้นไป สำหรับเด็กผู้ชาย และ 14 ปี สำหรับเด็กผู้หญิง เมื่อเด็กเจริญเติบโตเต็มที่ กระดูกก็จะเจริญเติบโตเติมช่องว่าง แล้วอาการก็จะทุเลาหรือหายไปเอง แต่ปุ่มที่นูนใต้เข่าก็ยังคงสภาพนูนอยู่แต่ไม่มีผลต่ออาการเจ็บใดๆ สรุปสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคนี้คือ
1. เด็กที่มีอายุในช่วง 10-15 ปี ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว (Rapid growth)
2. มีส่วนเกี่ยวข้องกับกีฬา
3. หักโหมในการซ้อม (high level of sporting activity)
การรักษาผู้ป่วยโรค OSD
1. พักการฝึกซ้อมสำหรับเด็กนักกีฬาหรือลดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดอาการ เช่น กระโดด คุกเข่า
2. ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่เจ็บ 2-3 ครั้งต่อวัน นานครั้งละ 20-30 นาที
3. ถ้าเจ็บมาก ใช้ยาในกลุ่ม Ibuprofen, Aleve, Advil or other nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs), or acetaminophen (Tylenol). แต่ไม่แนะนำให้ใช้ยาในกรณีที่ต้องทำการแข่งขัน ควรจะต้องอยู่ในช่วงพักร่างกาย การรักษาที่ดีที่สุดคือการให้เด็กนักกีฬาพักรักษาตัว หรือใช้งานช่วงหัวเข่าให้น้อยที่สุด
ข้อแนะนำและข้อคิดสำหรับผู้ป่วย OSD รวมผู้ปกครองหรือบุคคลที่ต้องเกี่ยวข้องกับกีฬาโดยเฉพาะเด็ก
1. ไม่ควรหักโหมในการฝึกกีฬาสำหรับเด็ก
2. ไม่ควรให้มีการจัด Ranking สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี กล่าวคือ เมื่อมีการจัดอันดับมือวางขึ้นแล้ว โดยส่วนใหญ่ทีมและผู้ปกครองต้องการให้เด็กมีมือวางอันดับที่ดี ดังนั้นจึงต้องทำการฝึกหนัก โดยส่วนตัวคิดว่า เด็กต่ำกว่า 10 ปี ควรฝึกกีฬา 4 วันต่อสัปดาห์ เด็กต่ำกว่า 12 ปี ไม่ควรเกิน 5 วัน และเด็กต่ำกว่า 15 ปี มากสุดไม่ควรเกิน 6 วันต่อสัปดาห์ พักเป็นพัก
3. ไม่ควรฝึกการทำกำลังในท่าที่ต้องใช้หัวเข่าอย่างหนัก เช่น ท่าขึ้น ลง เก้าอี้ ฝึกกระโดด
4. ควรทำการบริหารหรือเพิ่มกล้ามเนื้อหน้าขา เพื่อแบ่งเบาภาระเอ็นที่ยึดติดกับกระดูกหน้าแข้ง เช่น นั่งเก้าอี้ลม
5. ให้ความสำคัญต่อการยืดเหยียดทั้งก่อนและหลังเล่นหรือฝึกกีฬา
6. ใช้อุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บ เช่น ที่รัดใต้หัวเข่า (knee strap) หรือ ที่รองส้นเท้า (knee cap) ในระหว่างการซ้อมรวมถึงการแข่งขัน
7. ใช้อุปกรณ์กีฬาที่ดี มีคุณภาพ เช่น รองเท้า เป็นต้น
8. รู้จักวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่น RICE (Rest, Ice, Compression and Elevated) คือ เมื่อเจ็บแล้วต้องทำการพักทันที ใช้น้ำแข็งประคบ พันผ้าก๊อตกดส่วนที่เจ็บ และยกส่วนที่เจ็บให้สูงกว่าหัวใจ ท่องไว้ครับกฎนี้ RICE
9. สังเกตุอาการบาดเจ็บของเด็กนักกีฬาอยู่เสมอ (ไม่มีใครห่วงใยเท่าพ่อ แม่) ถ้าเจ็บต้องหยุดพักทันที่ อย่าฝืน --> เสียดายที่ผมรู้จักโรคนี้ช้าเกินไป ไม่อย่างนั้นลูกผมจะไม่ทรมานจากโรคนี้ (รู้ชื่อโรคจากการไปขอก็อปปี้ใบรักษาของหมอ แล้วมาค้นหาเพิ่มเติมเอง)...เลยอยากจะแชร์ให้ผู้ปกครองนักกีฬาได้ทราบเพื่อหลีกเลี่ยงจากโรคนี้...